การเพิ่มผลผลิต
ความหมายของการเพิ่มผลผลิต
การเพิ่มผลผลิตมี 2 แนวความคิด คือ แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ และแนวคิดทางเศรษฐกิจสังคม
1.1 แนวคิดทางวิทยาศาสตร์
ตามแนวคิดนี้ ความหมายโดยสรุปคิด “การเพิ่มผลผลิตเป็นสิ่งที่วัดค่าได้ และมองเห็นเป็นรูปธรรม”นั่นคือ ตามแนวความคิดนี้ การเพิ่มผลผลิตสามารถวัดค่าได้ทั้งทางกายภาพ คือวัดเป็นจำนวนชิ้นน้ำหนัก ความยาว ฯลฯ และอีกทางคือ การวัดเป็นมูลค่า ซึ่งวัดในรูปที่แปลงเป็นตัวเงิน สามารถทำให้หน่วยงานหรือองค์กรมองเห็นเป็นรูปธรรมได้ชัดเจนว่า การประกอบธุรกิจนั้น ๆ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลหรือไม่
ผลผลิต (Output) ที่นำมาเพื่อใช้ในการคำนวณนี้ต้องเป็นผลิตผลที่ขายได้จริงไม่นับรวมผลิตผลที่เป็นของเสียที่ตลาดไม่ต้องการ และต้องไม่เป็นผลิตผลค้างสต๊อกที่เก็บไว้ในโกดังสินค้า เพราะไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อโรงงานค่าที่ได้จาการคำนวณจากอัตราส่วนขิงผลิตผลและปัจจัยการผลิตนี้จะไปวิเคราะห์เปรียบเทียบค่าการเพิ่มผลผลิตของโรงงานตามที่กำหนด และใช้เปรียบเทียบกับหน่วยงานอื่นการคำนวณหาค่าการเพิ่มผลผลิตนี่เรียกว่า การวัดการเพิ่มผลผลิต ซึ่งแนวทางการเพิ่มผลผลิตมีดังนี้
แนวทางที่ 1 ทำให้ผลิตผลเพิ่มขึ้นแต่ปัจจัยการผลิตเท่าเดิม คือ Output เพิ่มขึ้น Input เท่าเดิม แนวทางนี้นำไปใช้ในการเพิ่มผลผลิตในสภาวะเศรษฐกิจอยู่ในสภาพปกติ คือเมื่อพนักงานมีเท่าเดิมต้องการให้ผลิตผลมากขึ้น ก็หาวิธีการปรับปรุงงานด้วยการนำเทคนิค วิธีการปรุงปรับการเพิ่มผลผลิตเข้ามาช่วย เช่น ปรับปรุงวิธีการทำงาน ฝึกอบรมทักษะในเรื่องการทำงานให้มีทักษะคุณภาพ กิจกรรม 5 ส กิจกรรม QCC ฯลฯ จะเป็นการเพิ่มผลผลิตให้มีค่าสูงขึ้น โดยไม่เพิ่มปัจจัยการผลิต
แนวทางที่ 2 ทำให้ผลิตผลเพิ่มขึ้นแต่ปัจจัยการผลิตลดน้อยลงคือ Output เพิ่มขึ้น Input ลดลง แนวทางนี้สามารถนำมาใช้เพื่อช่วยให้การเพิ่มผลผลิตมีค่าสูงสุดมากกว่าวิธีอื่น ๆ เป็นแนวทางที่นำเอาแนวทางที่ 1 และแนวทางที่ 4 เข้าด้วยกัน ผู้ปฏิบัติต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับปรุงกระบวนการผลิตวิธีการทำงานทั้งหมด จนไม่มีการสูญเสียในกระบวนการผลิต เช่น โรงงานผลิตผลไม้กระป๋อง ใช้คนงานสุ่มเช็คความเรียบร้อยของสินค้าก่อนบรรจุลงในกล่อง หากพบสินค้ามีรอยตำหนิไม่เป็นมาตรฐานก็จะแยกส่งออกไปแก้ไขใหม่ใช้พนักงาน 6 คน ในจำนวนพนักงานทั้งหมด12 คน ในสายตาการผลิต จะเห็นว่าเวลาส่วนใหญ่ของพนักงานทั้ง6 ที่ยืนสังเกตแยกสินค้าออกนี้ ถูกนำไปใช้งานที่ไม่เกิดประโยชน์ ทำให้เกิดต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นต้องปรับปรุงวิธีการทำงานใหม่ ในการหาวิธีตรวจสองสินค้าที่มีรอยตำหนิ โยกย้ายพนักงานออกไปทำหน้าที่อื่นที่ได้ประโยชน์ในการทำงานมากกว่าจะทำให้โรงงานได้ผลิตผลเพิ่มขึ้น และลดปัจจัยการผลิตน้อยลง แนวทางนี้จะเป็นวิธี “การเพิ่มผลผลิตหรือเพิ่มประสิทธิภาพด้วยต้นทุนต่ำ” ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในองค์กรอย่างคุ้มค่า หรือมีประสิทธิภาวะสูงสุด โดยเฉพาะการเพิ่มผลผลิตจากพนักงานให้สูงขึ้นและให้ลดความสูญเสียที่เกิดจาก “จุดรั่วไหล” ต่าง ๆ ให้มากที่สุด ประหยัดได้ต้องประหยัด ลดกันทุกจุกที่ทำได้ก็เท่ากับลดต้นทุน
แนวทางที่ 3 ทำให้ผลิตผลเพิ่มขึ้น แต่ปัจจัยการผลิตเพิ่มสูงขึ้น (ในอัตราที่น้อยกว่าการเพิ่มของผลิตผล) คือ Output เพิ่มขึ้น แต่ Input เพิ่มน้อยกว่า แนวทางนี้นำไปใช้ในสภาวะเศรษฐกิจกำลังเติบโตต้องการขยายกิจการและขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น มีทุนพอที่จะจัดซื้อเครื่องจักรมาเพิ่มขึ้น จ้างแรงงานเพิ่มใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยในการผลิต ลงทุนในด้านปัจจัยการผลิตเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับผลผลิตที่เพิ่มขึ้นแล้วอัตราส่วนของผลผลิตที่เพิ่มจะมากกว่าการเพิ่มของปัจจัยการผลิต
แนวทางที่ 4 ทำให้ผลิตผลเท่าเดิม แต่ปัจจัยการผลิตลดลง คือ Output คงที่ แต่ Input ลดลง แนวทางนี้ไม่เพิ่มยอดการผลิต นั่นคือ การใช้ปัจจัยการผลิตที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เหมาะที่จะใช้กับช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความต้องการของตลาดมีไม่มากนัก เช่น การประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ ขจัดเวลาที่สูญเสียต่าง ๆ การประหยัดทรัพยากรที่มีอยู่ให้ใช้อย่างจำกัดและจำเป็นลดความฟุ่มเฟือยต่าง ไหลหาจุดไหลในการผลิตและลดจุดรั่วนั้น ๆ
แนวทางที่ 5 ทำให้ผลิตผลลดลงจากเดิมแต่ปัจจัยการผลิตลดลงมากกว่า (ในอัตราลดลงมากกว่าลดผลิตผล) คือ Output ลดลง Input ลดลงมากกว่าแนวทางนี้ใช้ในภาวะที่ความต้องการของสินค้าหรือบริการในตลาดน้อยลง เพื่อใช้เพิ่มค่าของการเพิ่มผลผลิตเช่นสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย คนไม่มีกำลังซื้อ สินค้าฟุ่มเฟือยไม่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น รถยนต์ น้ำหอมฯลฯ ขายไม่ได้มาก บริษัทที่ผลิตต้องลดปริมาณการผลิตลง และพยายามลดปัจจัยการผลิตให้มากกว่าด้วย เพื่อให้การเพิ่มผลผลิตค่าสูงขึ้น
แนวทางการเพิ่มผลผลิตทั้ง 5 แนวทางที่กล่าวมาจะไม่สามารถบอกได้อย่างแน่ชัดว่า แนวทางใดจะเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจอย่างไรได้ทั้งหมดเพราะต้องพิจารณาทั้งผลิตผลและปัจจัยการผลิตร่วมเพื่อแนวทางที่เหมาะสมกับองค์กรหรือหน่วยงานนั้น ๆ แต่โดยหลักการพื้นฐานแล้วสามารถพิจารณาได้ ดังนี้
แนวทางการเพิ่มผลผลิต
- หากต้องเพิ่มผลผลิตหรือ Output สูงนั้น เหมาะกับสภาวะเศรษฐกิจที่ตลาดขยายตัว ผู้บริโภคกำลังซื้อสูงสินค้ากำลังเป็นที่ต้องการของตลาด
- หากลดผลิตผลลง หรือ Output ลดลง เหมาะกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซบเซา ตลาดหดตัวสินค้าไม่เป็นที่ต้องการของตลาดขณะนั้น
- หากเพิ่มปัจจัยการผลิต หมายถึง ต้องการลงทุนเพิ่มในช่วงเศรษฐกิจเติบโต ต้องมั่นใจว่าสินค้าที่ผลิตออกมาแล้วเป็นที่ต้องการของตลาด
- หากลดปัจจัยการผลิต หมายถึงลดปัจจัยการผลิตได้ในทุกสภาวะเศรษฐกิจเพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่า
จากแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ข้างต้น ความหมายของการเพิ่มผลผลิตมิได้หมายถึงการเพิ่มปริมาณการสภาวะหนึ่งที่ต้องทำให้อัตราเพิ่มผลผลิตสูงตลอดเวลาซึ่งทำได้โดยสำรวจสภาวะเศรษฐกิจขณะนั้น รวมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดที่มีต่อสินค้าหรือบริการแล้วเลือกแนวทางใดแนวทางหนึ่งเพื่อการเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น
ประเภทของการเพิ่มผลผลิต
ปัจจุบันเครื่องมือและเทคนิคการปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตมีหลากหลาย ซึ่งล้วนแต่เป็นรูปแบบผสมผสานกันทั้งแบบของญี่ปุ่นและแบบตะวันตก เพราะหลักในการเพิ่มผลผลิตก็คือการขจัดความสูญเสียต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและสร้างทัศนคติที่ดีให้แก่พนักงานในการปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ
2.1 เทคนิคการเพิ่มผลผลิตแบบเน้นงาน
เป็นกระบวนการที่เป็นระบบในการพัฒนาปรับปรุงวิธีทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การศึกษาการทำงานประกอบด้วยเทคนิคหลัก 2 ประการ คือ
1. การศึกษาการทำงาน
หรือวิศวกรรมวิธีการหรือการทำงานง่ายขึ้น หรือการทำให้งานง่ายขึ้น หรือการปรับปรุงงานหรือการออกแบบงาน เป็นการบันทึกและวิเคราะห์วิธีทำงานโดยมุ่งที่จะกำจัด ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นบันได 8 ขั้น ในการศึกษาวิธีการทำงานได้แก่
ขั้นที่ 1 เลือกงานสำคัญที่เหมาะแก่การศึกษา โดยพิจารณางานที่จำเป็น เป็นปันหาคอคอดในสายการทำงาน มีของเสียสิ้นเปลืองสูงคุณภาพงานไม่สม่ำเสมอ ซ้ำซาก จำเจ ทำให้เหนื่อยล้ามาก หรือมีการทำงานล่วงเวลาบ่อยเป็นต้น
ขั้นที่ 2 บันทึกโดยตรง หมายถึง การใช้แผนภูมิหรือแผนภาพมาตรฐานที่เหมาะสมเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิธีทำงาน
ขั้นที่ 3 ลงมือตรวจตรา วิเคราะห์วิธีทำงานที่เป็นอยู่ โดยใช้เทคนิคการตั้งคำถาม 6W 1H กล่าวคือวิเคราะห์แต่ละขั้นตอนว่า ทำอะไร ทำที่ไหน ทำเมื่อไร ใครเป็นคนทำ ทำอย่างไร ทำไมต้องทำ มีอะไรอย่างอื่นที่ทำได้ เป้าหมายในการวิเคราะห์ตรวจตราก็เพื่อกำจัด รวม หรือสลับลำดับงานในขั้นตอนต่าง ๆ ที่พิจารณาจนกระทั่งเหลือแต่งานที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
ขั้นที่ 4 พัฒนาวิธีใหม่ เป็นขั้นตอนที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ค้นหาวิธีการใหม่ที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในสภาวการณ์ที่เป็นอยู่ จะต้องมีการบันทึกและตรวจตราวิธีการที่เสนอแนะใหม่เช่น
ขั้นที่ 5 วัดให้รู้จริง หาตัวเลขข้อมูลการประหยัดการเคลื่อนไหวและเวลาที่ได้ เพื่อคำนวณความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจของโครงการปรับปรุงที่เสนอแนะเสนอให้ฝ่ายบริหารพิจารณา
ขั้นที่ 6 ทุกสิ่งนิยามไว้ กำหนดวิธีการทำงานที่เสนอแนะเพื่อใช้อ้างอิงในทางปฏิบัติ รวมถึงการกำหนดอุปกรณ์ วัสดุ เงื่อนไขและผังสถานที่ทำงานให้ชัดเจน
ขั้นที่ 7 ใช้งานเป็นประจำ นำวิธีการทำงานแบบใหม่ไปปฏิบัติ โดยต้องได้รับการเห็นชอบจากฝ่ายบริหารและการยอมรับจากคนงานและหัวหน้างานที่เกี่ยวข้องต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะมีขึ้น ขั้นตอนนี้ครอบคลุมถึงการฝึกหัดพนักงานตามวิธีใหม่และการติดตามดูความก้าวหน้าในการทำงานจนได้ระดับที่น่าพอใจ
ขั้นที่ 8 ดำรงไว้ซึ่งวิธี คอยตรวจสอบการทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ปรับปรุง อาจกำหนดสิ่งจูงใจในการทำงานด้วยวิธีใหม่ ไม่มีเพียงเท่านั้น หากเล็งเห็นวิธีการปรับปรุงอีกก็อาจพิจารณาปรับปรุงต่อไป
ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการปรับปรุงการเพิ่มผลผลิต
ความสำเร็จในการปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตของหน่วยงานหรือองค์กรมีปัจจัย ดังนี้คือ
1. บทบาทของผู้บริหารระดับสูงในองค์กร ต้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนในการปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตอย่างจริงจังและจริงใจ ให้การสนับสนุนในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านงบประมาณ การสร้างขวัญและกำลังใจให้กับพนักงาน มีส่วนร่วมในกิจกรรมเพิ่มผลผลิตในทุก ๆ รูปแบบ
2. องค์กรต้องจัดตั้งทีมดำเนินงาน รับผิดชอบในการปรับปรุงการเพิ่มผลผลิต เพื่อให้การปรับปรุงดำเนินโครงการเป็นไปอย่างต่อเนื่องระยะยาว แบ่งหน้าที่รับผิดชอบอย่างชัดเจน
3. ต้องประกาศเป็นนโยบายขององค์กร เพื่อให้พนักงานทุกคนรับทราบ และต้องนับถือเป็นข้อตกลงร่วมกัน มีส่วนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในเรื่องของการปรับปรุงการทำงานเพื่อเพิ่มผลผลิต
4. เปิดโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้ พัฒนาความรู้ความสามารถและทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นในการทำงานจัดให้มีกิจกรรมการเพิ่มผลผลิตต่าง ๆ เช่น กิจกรรม 5 ส กิจกรรมกลุ่มคุณภาพ กิจกรรมข้อเสนอแนะ ฯลฯ
5. สร้างบรรยากาศหรือสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีในองค์กร เพื่อกระตุ้นให้พนักงานเกิดทัศนคติที่ดีต่อการทำงานมีความพยายามตระหนักถึงความจำเป็น
6. องค์กรต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพนักงานและฝ่ายบริหาร เพราะจะทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างกันในการปรับปรุงการเพิ่มผลผลิต
7. ต้องมีการแบ่งปันผลปะโยชน์ ซึ่งเกิดจากการเพิ่มผลผลิตให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสมเพราะจะให้เกิดความร่วมมือกับทุก ๆ ฝ่าย ในการปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตในระยะยาว
ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาจากการผลิต
ปัจจัยในการผลิต (ที่ดิน แรงงาน เงินทุน การจัดการ ฯลฯ)
ทำไมจึงต้องมีการเพิ่มผลผลิต?
ผลผลิตของประเทศเปรียบเสมือนอาหารหรือสายโลหิตที่ไปหล่อเลี้ยงคนทั้งประเทศ ถ้าประชากรของประเทศได้รับการเลี้ยงดูที่ดีเขาก็จะเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของประเทศต่อไป การเพิ่มผลผลิตจะเป็นการเพิ่มมาตรฐานการครองชีพของประชาชนด้วย การเพิ่มผลผลิตจะมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชากรในหลาย ๆ ทาง คือ
1. การเพิ่มผลผลิตจะมีผลทำให้รายได้ของประชากรเพิ่มขึ้น
2. การเพิ่มผลผลิตจะทำให้เกิดความสมดุลในดุลการค้าระหว่างประเทศหรือถ้าเพิ่มผลผลิตได้มาก ๆ ดุลการค้าของประเทศก็จะเกินดุล
3. การเพิ่มผลผลิตจะช่วยลดผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อไปได้บ้าง
4. ในการประกอบธุรกิจการเพิ่มผลผลิตจะเป็นทางหนึ่งในการเพิ่มกำไรให้กับผู้ประกอบการ
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเพิ่มผลผลิต
ในการเพิ่มผลผลิตจะต้องอาศัยปัจจัยหลาย ๆ อย่างประกอบกัน เช่น อิทธิพลภายนอกองค์การ ขบวนการผลิต ความสามารถในการผลิต สินค้าคงคลัง และกำลังแรงงาน ซึ่งแต่ละปัจจัยย่อย ๆ อื่น ๆ ประกอบอีก (ดูแผนภูมิประกอบ) การเพิ่มผลผลิตจะใช้เพียงปัจจัยหนึ่งปัจจัยใดจะได้ผลลัพธ์ออกมาไม่ค่อยสมบูรณ์นัก เพราะทุกปัจจัยจะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน แต่เราสามารถให้น้ำหนักของความสำคัญในแต่ละปัจจัยไม่เท่ากันได้แล้วแต่สถานการณ์แวดล้อม ปัจจัยแต่ละปัจจัยจะมีอิทธิพลต่อการเพิ่มผลผลิตได้ดังต่อไปนี้:-
มีแผนภูมิ
1. อิทธิพลภายนอกองค์การ: เป็นสิ่งแวดล้อมที่อยู่ภายนอกองค์การและอยู่นอกเหนือการควบคุมขององค์การ เช่น นโยบายการส่งเสริมการลงทุนจากทางรัฐบาล กฎหมาย คู่แข่งขัน ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ความต้องการของลูกค้า เป็นต้น แต่ละปัจจัยจะมีอิทธิพลทั้งต่อปริมาณของผลลัพธ์และปัจจัยในการผลิต เช่น นโยบายการส่งเสริมการลงทุนจากทางรัฐบาลจะมีผลโดยตรงต่อค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อวัตถุดิบและการลงทุน เพราะรัฐบาลจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนต่อผู้เข้ามาลงทุนภายในประเทศเพื่อจูงใจให้มีการลงทุนมาก ๆ เมื่อผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนทั้งทางด้านการสั่งซื้อวัตถุดิบและค่าจ้างแรงงาน ถึงแม้ว่าจะผลิตให้มีผลลัพธ์ออกมาเท่าเดิม ก็ถือได้ว่า มีการเพิ่มผลผลิตขึ้นแล้ว เพราะใช้ปัจจัยในการผลิตน้อยลง
2. ผลิตภัณฑ์ : หมายความถึงผลรวมขององค์การประกอบการทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ รวมทั้งการบรรจุหีบห่อ สีสัน ราคา ชื่อเสียงของบริษัทผู้ผลิต ชื่อเสียงของร้านค้าปลีก และการบริการจากผู้ผลิต และจากร้านค้าปลีก ซึ่งผู้ซื้อจะซื้อมาหรือแลกเปลี่ยนมาเพื่อบำบัดความชอบหรือความต้องการของคน ในการเพิ่มผลผลิตของผลิตภัณฑ์จะใช้องค์ประกอบหลาย ๆ ทางประกอบกัน เช่น
- การวิจัยและพัฒนา ทั้งในแง่ของการหาวิธีการผลิตใหม่ ๆ ที่จะให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น และการแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มยอดขาย และลดต้นทุน
- การเพิ่มผลผลิตโดยใช้วิธีการของวิศวกรรมคุณค่า (Value Engineering) ซึ่งเป็นเทคนิคการปรับปรุงในแง่ของวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ และการกำหนดมาตรฐานของวัตถุดิบซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับการจัดซื้อ การออกแบบผลิตภัณฑ์และการหาวัสดุทดแทน คำว่า "คุณค่า" ในแง่ของวิศวกรรมคุณค่านั้น หมายถึง คุณค่าของผลิตภัณฑ์และการบริการ ซึ่งผู้ใช้หรือลูกค้าคาดหวังหรือต้องการที่จะได้รับจากสินค้าหรือบริการนั้น ๆ เช่น มีการเปลี่ยนวัสดุในการทำภาชนะบางประเภทเสียใหม่ โดยใช้พลาสติกแทนโลหะเพื่อลดต้นทุนในการผลิต แต่ยังคงใช้งานได้เหมือนเดิมทุกประการ
3. ขบวนการผลิต : เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะมีอิทธิพลต่อผลผลิต ประกอบด้วยความคล่องตัวในการผลิต การใช้ระบบอัตโนมัติ การออกแบบขบวนการผลิต และการเลือกกรรมวิธีในการผลิต ฯลฯ กรรมวิธีหรือขบวนการในการผลิตจะเป็นต้นทุนส่วนใหญ่ของการผลิต ถ้าเราสามารถเลือกขบวนการในการผลิตที่เสียค่าใช้จ่ายน้อย ๆ แต่ได้ผลผลิตออกมาเท่าเดิม ก็จะเป็นการเพิ่มผลผลิตได้วิธีหนึ่ง มีวิธีการหลาย ๆ วิธีในการที่จะเพิ่มผลผลิต เช่น การใช้ระบบอัตโนมัติแทนแรงงานคน ปรับปรุงการออกแบบโรงงานให้เหมาะสมกับขบวนการผลิต หรือวิเคราะห์ความคล่องตัวในการผลิต เป็นต้น
4. ความสามารถในการผลิตและสินค้าคงคลัง : ความสามารถในการผลิตจะมีผลโดยตรงต่อผลผลิต ในการผลิตจะต้องคำนึงถึงจุดคุ้มทุน (break-even-point) ของผลิตภัณฑ์ว่าอยู่ที่ใด จำนวนเท่าไร (ต่อวัน ต่อเดือน ต่อปี) แล้วจะต้องพยายามผลิตตามนั้นเพื่อที่จะมีค่าโสหุ้ยในการผลิตต่ำสุด เพราะถ้าผลิตมากหรือน้อยเกินไปจะทำให้ค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าเสื่อมราคาของโรงงานและเครื่องจักร รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการบริหารงานสูงเกินความจำเป็น
ในแง่ของสินค้าคงคลังก็จะมีส่วนในการเพิ่มหรือลดผลผลิตเช่นกัน การมีสินค้าคงคลังมากเกินไปจะมีผลทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น แต่ถ้ามีน้อยเกินไปอาจจะทำให้ยอดขายและปริมาณการผลิตลดลง
5. กำลังแรงงาน : อาจจะพูดได้เลยว่ากำลังแรงงานเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่มีอิทธิพลต่อผลผลิตขององค์การ โดยจะเริ่มตั้งแต่แรกเลย คือ ขบวนการคัดเลือกและบรรจุพนักงาน ซึ่งจะบอกได้เลยว่า องค์การแต่ละองค์การต้องการทรัพยากรมนุษย์ในระดับใดเข้ามาทำงานในองค์การ ทรัพยากรมนุษย์จะเพิ่มผลผลิตของตนเองได้โดยผ่านการฝึกอบรม การมอบหมายงานและการบังคับบัญชาที่ดี และท้ายที่สุดการตั้งเป้าหมายในการทำงานและการให้รางวัลจะเป็นสิ่งจูงใจให้พนักงานเพิ่มผลผลิตของตนเองขึ้นมาได้
ข้อควรคำนึงในการเพิ่มผลผลิต
ในการรักษาหรือเพิ่มผลผลิต หลาย ๆ องค์การจัดทำเป็นโครงการพิเศษขึ้นมา แต่จากการประเมินผลของโครงการพิเศษในการเพิ่มผลผลิตพบว่าจะต้องมีความสอดคล้องกันในสามองค์ประกอบ คือ
- การพัฒนาเครื่องวัดหรือวิธีการวัดในการเพิ่มผลผลิต
- คนในองค์การทุกคนจะต้องยอมรับและผูกผันในการเพิ่มผลผลิตขององค์การ
- การให้ข้อมูลย้อนกลับในผลของความสำเร็จ
และในการเพิ่มผลผลิตจะประสบความสำเร็จมากหรือน้อยนั้น ควรคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ไว้ด้วย
1. การพัฒนามาตรการในการวัดผลผลิตในทุก ๆ ระดับขององค์การ เครื่องวัดเหล่านี้จะต้องได้รับการยอมรับจากพนักงานในทุก ๆ ระดับ เครื่องวัดเหล่านี้อาจมีหลาย ๆ เครื่องวัดก็ได้
2. ตั้งเป้าหมายในการเพิ่มผลผลิต เป้าหมายเหล่านี้ควรจะเป็นไปในทางรูปธรรมที่สามารถหาเครื่องวัดมาวัดได้ เช่น ในกิจการผลิตพรม เป้าหมายในการเพิ่มผลผลิตก็คือ ให้พนักงานผลิตพรมได้เพิ่มขึ้น 10 หลา ต่อวัน เป็นต้น
3. พัฒนาแผนการดำเนินเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ผู้บริหารระดับสูงจะต้องตัดสินใจลงไปเลยว่า การที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้นั้นจะต้องใช้วิธีการใด เมื่อได้วิธีการมาแล้วก็ค่อยมาดูว่ากำลังคนและอุปกรณ์ภายในองค์การมีพร้อมหรือเปล่า ในแง่ของพนักงานอาจต้องมีการฝึกอบรมให้เขามีความรู้เพิ่มขึ้น อุปกรณ์บางอย่างที่ยังขาดแคลนอยู่ก็จัดหามาเพิ่มเติมให้ครบ
4. ลงมือปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ การลงมือปฏิบัตินี้จะต้องเริ่มจากผู้บังคับบัญชาในแต่ละระดับก่อน แผนในการเพิ่มผลผลิตที่นำมาปฏิบัติแล้วได้ผลดีจะต้องเป็นแผนที่ผู้บังคับบัญชาและพนักงานร่วมกันกำหนดขึ้นมา
5. วัดผลการดำเนินงาน การวัดผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานทราบว่า การดำเนินงานของเขานั้นเป็นอย่างไร ถ้าผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้ก็ปล่อยให้ดำเนินงานกันต่อไป แต่ถ้าต่ำกว่าเป้าหมายก็ต้องค้นหาสาเหตุว่าเป็นเพราะเหตุใด แล้วทำการแก้ไขเพื่อที่จะได้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในตอนแรก
นอกจากว่าการเพิ่มผลผลิตจะต้องอาศัยปัจจัยในการดำเนินงานข้างต้นแล้ว การเพิ่มผลผลิตยังต้องการเวลาและความพยายามอย่างมากด้วย บางครั้งก็ต้องใช้จ่ายเงินจำนวนน้อยเพื่อจะได้ประหยัดเงินจำนวนมากไว้ ผลลัพธ์ของการเพิ่มผลผลิตอาจจะต้องใช้เวลารอคอยนานพอสมควร อาจจะเป็นเดือนหรือเป็นปี และที่สำคัญที่สุด เมื่อพนักงานทุกคนร่วมมือร่วมใจกันเพิ่มผลผลิตขึ้นมาแล้ว ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับองค์การทั้งในแง่ของยอดขายที่เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายลดลง ผลกำไรมีมากขึ้น เป็นต้น จะต้องนำย้อนกลับมาสู่พนักงานด้วยทั้งในรูปของค่าตอบแทนต่าง ๆ ความมั่นคงในการทำงาน ขวัญและกำลังใจในการทำงานที่ดี ฯลฯ เพื่อจะได้จูงใจให้พนักงานเห็นว่าเมื่อพวกเขาทำงานหนักมากขึ้นได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นทั้งตัวเขาและองค์การก็จะได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ปัจจัยในการผลิต (ที่ดิน แรงงาน เงินทุน การจัดการ ฯลฯ)
ทำไมจึงต้องมีการเพิ่มผลผลิต?
ผลผลิตของประเทศเปรียบเสมือนอาหารหรือสายโลหิตที่ไปหล่อเลี้ยงคนทั้งประเทศ ถ้าประชากรของประเทศได้รับการเลี้ยงดูที่ดีเขาก็จะเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของประเทศต่อไป การเพิ่มผลผลิตจะเป็นการเพิ่มมาตรฐานการครองชีพของประชาชนด้วย การเพิ่มผลผลิตจะมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชากรในหลาย ๆ ทาง คือ
1. การเพิ่มผลผลิตจะมีผลทำให้รายได้ของประชากรเพิ่มขึ้น
2. การเพิ่มผลผลิตจะทำให้เกิดความสมดุลในดุลการค้าระหว่างประเทศหรือถ้าเพิ่มผลผลิตได้มาก ๆ ดุลการค้าของประเทศก็จะเกินดุล
3. การเพิ่มผลผลิตจะช่วยลดผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อไปได้บ้าง
4. ในการประกอบธุรกิจการเพิ่มผลผลิตจะเป็นทางหนึ่งในการเพิ่มกำไรให้กับผู้ประกอบการ
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเพิ่มผลผลิต
ในการเพิ่มผลผลิตจะต้องอาศัยปัจจัยหลาย ๆ อย่างประกอบกัน เช่น อิทธิพลภายนอกองค์การ ขบวนการผลิต ความสามารถในการผลิต สินค้าคงคลัง และกำลังแรงงาน ซึ่งแต่ละปัจจัยย่อย ๆ อื่น ๆ ประกอบอีก (ดูแผนภูมิประกอบ) การเพิ่มผลผลิตจะใช้เพียงปัจจัยหนึ่งปัจจัยใดจะได้ผลลัพธ์ออกมาไม่ค่อยสมบูรณ์นัก เพราะทุกปัจจัยจะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน แต่เราสามารถให้น้ำหนักของความสำคัญในแต่ละปัจจัยไม่เท่ากันได้แล้วแต่สถานการณ์แวดล้อม ปัจจัยแต่ละปัจจัยจะมีอิทธิพลต่อการเพิ่มผลผลิตได้ดังต่อไปนี้:-
มีแผนภูมิ
1. อิทธิพลภายนอกองค์การ: เป็นสิ่งแวดล้อมที่อยู่ภายนอกองค์การและอยู่นอกเหนือการควบคุมขององค์การ เช่น นโยบายการส่งเสริมการลงทุนจากทางรัฐบาล กฎหมาย คู่แข่งขัน ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ความต้องการของลูกค้า เป็นต้น แต่ละปัจจัยจะมีอิทธิพลทั้งต่อปริมาณของผลลัพธ์และปัจจัยในการผลิต เช่น นโยบายการส่งเสริมการลงทุนจากทางรัฐบาลจะมีผลโดยตรงต่อค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อวัตถุดิบและการลงทุน เพราะรัฐบาลจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนต่อผู้เข้ามาลงทุนภายในประเทศเพื่อจูงใจให้มีการลงทุนมาก ๆ เมื่อผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนทั้งทางด้านการสั่งซื้อวัตถุดิบและค่าจ้างแรงงาน ถึงแม้ว่าจะผลิตให้มีผลลัพธ์ออกมาเท่าเดิม ก็ถือได้ว่า มีการเพิ่มผลผลิตขึ้นแล้ว เพราะใช้ปัจจัยในการผลิตน้อยลง
2. ผลิตภัณฑ์ : หมายความถึงผลรวมขององค์การประกอบการทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ รวมทั้งการบรรจุหีบห่อ สีสัน ราคา ชื่อเสียงของบริษัทผู้ผลิต ชื่อเสียงของร้านค้าปลีก และการบริการจากผู้ผลิต และจากร้านค้าปลีก ซึ่งผู้ซื้อจะซื้อมาหรือแลกเปลี่ยนมาเพื่อบำบัดความชอบหรือความต้องการของคน ในการเพิ่มผลผลิตของผลิตภัณฑ์จะใช้องค์ประกอบหลาย ๆ ทางประกอบกัน เช่น
- การวิจัยและพัฒนา ทั้งในแง่ของการหาวิธีการผลิตใหม่ ๆ ที่จะให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น และการแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มยอดขาย และลดต้นทุน
- การเพิ่มผลผลิตโดยใช้วิธีการของวิศวกรรมคุณค่า (Value Engineering) ซึ่งเป็นเทคนิคการปรับปรุงในแง่ของวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ และการกำหนดมาตรฐานของวัตถุดิบซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับการจัดซื้อ การออกแบบผลิตภัณฑ์และการหาวัสดุทดแทน คำว่า "คุณค่า" ในแง่ของวิศวกรรมคุณค่านั้น หมายถึง คุณค่าของผลิตภัณฑ์และการบริการ ซึ่งผู้ใช้หรือลูกค้าคาดหวังหรือต้องการที่จะได้รับจากสินค้าหรือบริการนั้น ๆ เช่น มีการเปลี่ยนวัสดุในการทำภาชนะบางประเภทเสียใหม่ โดยใช้พลาสติกแทนโลหะเพื่อลดต้นทุนในการผลิต แต่ยังคงใช้งานได้เหมือนเดิมทุกประการ
3. ขบวนการผลิต : เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะมีอิทธิพลต่อผลผลิต ประกอบด้วยความคล่องตัวในการผลิต การใช้ระบบอัตโนมัติ การออกแบบขบวนการผลิต และการเลือกกรรมวิธีในการผลิต ฯลฯ กรรมวิธีหรือขบวนการในการผลิตจะเป็นต้นทุนส่วนใหญ่ของการผลิต ถ้าเราสามารถเลือกขบวนการในการผลิตที่เสียค่าใช้จ่ายน้อย ๆ แต่ได้ผลผลิตออกมาเท่าเดิม ก็จะเป็นการเพิ่มผลผลิตได้วิธีหนึ่ง มีวิธีการหลาย ๆ วิธีในการที่จะเพิ่มผลผลิต เช่น การใช้ระบบอัตโนมัติแทนแรงงานคน ปรับปรุงการออกแบบโรงงานให้เหมาะสมกับขบวนการผลิต หรือวิเคราะห์ความคล่องตัวในการผลิต เป็นต้น
4. ความสามารถในการผลิตและสินค้าคงคลัง : ความสามารถในการผลิตจะมีผลโดยตรงต่อผลผลิต ในการผลิตจะต้องคำนึงถึงจุดคุ้มทุน (break-even-point) ของผลิตภัณฑ์ว่าอยู่ที่ใด จำนวนเท่าไร (ต่อวัน ต่อเดือน ต่อปี) แล้วจะต้องพยายามผลิตตามนั้นเพื่อที่จะมีค่าโสหุ้ยในการผลิตต่ำสุด เพราะถ้าผลิตมากหรือน้อยเกินไปจะทำให้ค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าเสื่อมราคาของโรงงานและเครื่องจักร รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการบริหารงานสูงเกินความจำเป็น
ในแง่ของสินค้าคงคลังก็จะมีส่วนในการเพิ่มหรือลดผลผลิตเช่นกัน การมีสินค้าคงคลังมากเกินไปจะมีผลทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น แต่ถ้ามีน้อยเกินไปอาจจะทำให้ยอดขายและปริมาณการผลิตลดลง
5. กำลังแรงงาน : อาจจะพูดได้เลยว่ากำลังแรงงานเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่มีอิทธิพลต่อผลผลิตขององค์การ โดยจะเริ่มตั้งแต่แรกเลย คือ ขบวนการคัดเลือกและบรรจุพนักงาน ซึ่งจะบอกได้เลยว่า องค์การแต่ละองค์การต้องการทรัพยากรมนุษย์ในระดับใดเข้ามาทำงานในองค์การ ทรัพยากรมนุษย์จะเพิ่มผลผลิตของตนเองได้โดยผ่านการฝึกอบรม การมอบหมายงานและการบังคับบัญชาที่ดี และท้ายที่สุดการตั้งเป้าหมายในการทำงานและการให้รางวัลจะเป็นสิ่งจูงใจให้พนักงานเพิ่มผลผลิตของตนเองขึ้นมาได้
ข้อควรคำนึงในการเพิ่มผลผลิต
ในการรักษาหรือเพิ่มผลผลิต หลาย ๆ องค์การจัดทำเป็นโครงการพิเศษขึ้นมา แต่จากการประเมินผลของโครงการพิเศษในการเพิ่มผลผลิตพบว่าจะต้องมีความสอดคล้องกันในสามองค์ประกอบ คือ
- การพัฒนาเครื่องวัดหรือวิธีการวัดในการเพิ่มผลผลิต
- คนในองค์การทุกคนจะต้องยอมรับและผูกผันในการเพิ่มผลผลิตขององค์การ
- การให้ข้อมูลย้อนกลับในผลของความสำเร็จ
และในการเพิ่มผลผลิตจะประสบความสำเร็จมากหรือน้อยนั้น ควรคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ไว้ด้วย
1. การพัฒนามาตรการในการวัดผลผลิตในทุก ๆ ระดับขององค์การ เครื่องวัดเหล่านี้จะต้องได้รับการยอมรับจากพนักงานในทุก ๆ ระดับ เครื่องวัดเหล่านี้อาจมีหลาย ๆ เครื่องวัดก็ได้
2. ตั้งเป้าหมายในการเพิ่มผลผลิต เป้าหมายเหล่านี้ควรจะเป็นไปในทางรูปธรรมที่สามารถหาเครื่องวัดมาวัดได้ เช่น ในกิจการผลิตพรม เป้าหมายในการเพิ่มผลผลิตก็คือ ให้พนักงานผลิตพรมได้เพิ่มขึ้น 10 หลา ต่อวัน เป็นต้น
3. พัฒนาแผนการดำเนินเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ผู้บริหารระดับสูงจะต้องตัดสินใจลงไปเลยว่า การที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้นั้นจะต้องใช้วิธีการใด เมื่อได้วิธีการมาแล้วก็ค่อยมาดูว่ากำลังคนและอุปกรณ์ภายในองค์การมีพร้อมหรือเปล่า ในแง่ของพนักงานอาจต้องมีการฝึกอบรมให้เขามีความรู้เพิ่มขึ้น อุปกรณ์บางอย่างที่ยังขาดแคลนอยู่ก็จัดหามาเพิ่มเติมให้ครบ
4. ลงมือปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ การลงมือปฏิบัตินี้จะต้องเริ่มจากผู้บังคับบัญชาในแต่ละระดับก่อน แผนในการเพิ่มผลผลิตที่นำมาปฏิบัติแล้วได้ผลดีจะต้องเป็นแผนที่ผู้บังคับบัญชาและพนักงานร่วมกันกำหนดขึ้นมา
5. วัดผลการดำเนินงาน การวัดผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานทราบว่า การดำเนินงานของเขานั้นเป็นอย่างไร ถ้าผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้ก็ปล่อยให้ดำเนินงานกันต่อไป แต่ถ้าต่ำกว่าเป้าหมายก็ต้องค้นหาสาเหตุว่าเป็นเพราะเหตุใด แล้วทำการแก้ไขเพื่อที่จะได้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในตอนแรก
นอกจากว่าการเพิ่มผลผลิตจะต้องอาศัยปัจจัยในการดำเนินงานข้างต้นแล้ว การเพิ่มผลผลิตยังต้องการเวลาและความพยายามอย่างมากด้วย บางครั้งก็ต้องใช้จ่ายเงินจำนวนน้อยเพื่อจะได้ประหยัดเงินจำนวนมากไว้ ผลลัพธ์ของการเพิ่มผลผลิตอาจจะต้องใช้เวลารอคอยนานพอสมควร อาจจะเป็นเดือนหรือเป็นปี และที่สำคัญที่สุด เมื่อพนักงานทุกคนร่วมมือร่วมใจกันเพิ่มผลผลิตขึ้นมาแล้ว ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับองค์การทั้งในแง่ของยอดขายที่เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายลดลง ผลกำไรมีมากขึ้น เป็นต้น จะต้องนำย้อนกลับมาสู่พนักงานด้วยทั้งในรูปของค่าตอบแทนต่าง ๆ ความมั่นคงในการทำงาน ขวัญและกำลังใจในการทำงานที่ดี ฯลฯ เพื่อจะได้จูงใจให้พนักงานเห็นว่าเมื่อพวกเขาทำงานหนักมากขึ้นได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นทั้งตัวเขาและองค์การก็จะได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
นางสาวสุภาพร สาลีอ่อน การจัดการทั่วไป ปวส.1กลุ่ม2